กรณีศึกษา มะเร็งปอดระยะสุดท้ายหายไปหลังล้างพิษตับ 2 ครั้ง !?
ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
"ลางเนื้อชอบลางยา" มีคนจำนวนไม่น้อยสามารถหายป่วยจากโรคร้ายได้ เพราะแพทย์แผนปัจจุบัน หลายคนก็สามารถหายป่วยจากโรคร้ายด้วยแพทย์ทางเลือก หรือธรรมชาติบำบัด พลตรีจำลอง ศรีเมือง จึงย้ำเสมอว่าไม่มีแพทย์คนไหนรักษาให้คนทุกคนหายจากทุกโรคได้ และไม่ได้แปลว่าหมอที่เคยรักษาโรคคนหนึ่งหายแล้วจะรักษาอีกคนหนึ่งในโรคเดียวกันได้ เพราะอย่างไรเสียมนุษย์ทุกคนก็ต้องมีวันสิ้นอายุขัยด้วยโรคใดโรคหนึ่ง เป็นธรรมดาตามแต่บุญและกรรมของตัวเองที่ได้กระทำมาอยู่ดี
จากสถิติ 194 ประเทศ พบว่ามนุษย์ทั่วโลกมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 67.2 ปี ผู้หญิงมีอายุยืนมากกว่าผู้ชาย โดยผู้หญิงมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 69.5 ปี ส่วนผู้ชายมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 65.0 ปี
ส่วนสถิติของมนุษย์ที่มีอายุยืนที่สุดในโลกเท่าที่เคยพบมาชื่อ นายลีชุนยุง เป็นชาวจีนผู้เกิดในปี พ.ศ. 2220 และตายในปี พ.ศ.2476 สิริรวมอายุได้ 256 ปี พบว่านายลีชุนยุงผู้นี้เป็นนักมังสวิรัติไม่รับประทานอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์เลย และเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพรและยาอายุวัฒนะ
ส่วนประเทศไทยประชากรมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 70.6 ปี ผู้หญิงมีอายุยืนมากกว่าผู้ชาย โดยผู้หญิงไทยมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 75 ปี ส่วนผู้ชายไทยมีอายุขัยอยู่ที่ 66.5 ปี อายุขัยของคนไทยอยู่ในอันดับ 111 ของโลก อายุยืนมากว่าอายุเฉลี่ยของมนุษย์ทั่วโลกเพียงเล็กน้อย
ดังนั้นใครผู้หญิงไทยคนใดมีอายุเกิน 75 ปี และผู้ชายไทยคนใด มีอายุเกิน 66.5 ปีแล้ว ก็ขอให้เข้าใจเถิดว่าคนเหล่านั้นมีอายุยืนกว่าคนไทยทั่วไปแล้ว และมีอายุยืนกว่าอายุเฉลี่ยของมนุษย์ทั่วโลกแล้ว
จากสถิติพบว่า ในปี พ.ศ. 2553 คนไทยมีจำนวนผู้เสียชีวิต 411,331 คน คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 645.7 คนต่อประชากรไทย 1 แสนคน พบว่าสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทยเป็นดังนี้
อันดับที่ 1 คือ "มะเร็งและเนื้องอกทุกชนิด" โดยในปี พ.ศ. 2553 มีผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง 58,076 คน คิดเป็นอันตรา 91 คนต่อประชากรไทย 1 แสนคน
อันดับที่ 2 คือตายเพราะอุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ที่ไม่สามารถระบุเจนาและปัจจัยเสริมที่มีความสัมพันธ์กับสาเหตุการตาย คิดเป็นอัตรา 51.6 คนต่อประชากรไทย 1 แสนคน
อันดับที่ 3 คือตายเพราะความดันเลือดสูงและโรคหลอดเลือดในสมอง คิดเป็นอัตรา 31.4 คนต่อประชากรไทย 1 แสนคน
อันดับที่ 4 คือตายเพราะโรคหัวใจ คิดเป็นอัตรา 28.9 คนต่อประชากรไทย 1 แสนคน ส่วน
อันดับที่ 5 คือตายเพราะโรคปอดอักเสบและโรคอื่นๆของปอด คิดเป็นอัตรา 25.7 คนต่อประชากรไทย 1 แสนคน
จากสถิติที่กล่าวมาข้างต้น ไม่วันในวันหนึ่งเราก็อาจจะต้องตายด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งจากโรคยอดฮิตข้างต้นเหล่านี้ก็ได้ เพียงแต่เป็นที่น่าสังเกตุว่าคนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้นทุกปี
วิวัฒนาการของแพทย์แผนปัจจุบันในการจัดการกับโรคมะเร็งนั้น ก็ยังคงอยู่ในสูตรเดิม คือ 1. ผ่าตัด 2.ฉายแสง 3. คีโมบำบัด แต่ที่กำลังเป็นวิวัฒนาการของโลกที่พยายามเอาชนะโรคมะเร็งอยู่ในปัจจุบันก็คือการทำวัคซีน หรือเซรุ่ม ซึ่งได้ผลดีมาก แต่ยังไม่สามารถเอาชนะมะเร็งได้ในทุกพื้นที่ของร่างกาย ผลปรากฏว่าแพทย์แผนปัจจุบันสามารถรักษามะเร็งที่หายไปได้ไม่น้อย ที่ไม่หายก็มีมาก และที่ได้รับผลข้างเคียงและการการลุกลามไปที่อื่นก็มีมากเช่นกัน
ส่วนแพทย์ทางเลือก แพทย์แผนจีน แพทย์แผนไทย ธรรมชาติบำบัด ปัจจุบันมีหลายสูตรมาก ส่วนใหญ่เน้นการใช้สมุนไพร การปรับสูตรอาหารกินพืชอาหารฤทธิ์ด่าง การรักษาจิตใจให้ดีผ่องใส ตลอดจนการล้างพิษออกจากร่างกายให้มากที่สุด ฯลฯ พบว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการเก็บสถิติอย่างเป็นระบบสักเท่าไหร่
กรณีศึกษาต่อไปนี้น่าจะเป็นตัวอย่างให้พิจารณากับโรคร้ายที่เป็นสาเหตุที่ทำให้คนไทยตายมากที่สุดคือโรคมะเร็ง และยิ่งเป็นเรื่องที่ยากมากหากจะรักษาให้โรคมะเร็งระยะที่ 4 ซึ่งถือว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่จะไปรุกรานร่างกายจนไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้
คุณสินห์ฉวี ภู่ไพบูลย์ (คุณเจี๊ยบ)ปัจจุบันอายุ 53 ปี เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ได้ไปตรวจกับแพทย์แผนปัจจุบัน ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง กรุงเทพมหานคร พบมะเร็งที่ปอด 1 จุด ความยาว 4 เซนติเมตรออก จึงได้ทำการผ่าตัดทันทีในขณะที่แพทย์ได้ผ่าตัดนั้น จึงได้เลาะต่อมน้ำเหลือง 10 จุด พบว่ามีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้น 1 จุด แพทย์สรุปว่าเป็นมะเร็งระยะที่ 2
ต่อมาจึงต้องมีการักษาโดยการใช้คีโมบำบัดเข้าทางเส้นเลือด 6 คอร์ส จำนวน 12 ครั้ง โดยเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง จนถึงเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2554 ในระหว่างนั้นเกิดอาการข้างเคียงอย่างหนัก ต้องกลับเข้าไปนอนโรงพยาบาลหลายครั้ง เพราะอาเจียนไม่หยุด แม้ให้ยาลดการอาเจียนก็ไม่สามารถหยุดได้ ผมร่วงและร่างกายรู้สึกทุกข์ทรมานมาก
จนกระทั่งเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 แพทย์จึงตรวจอีกครั้งด้วยการใช้เครื่อง ซีทีสแกน พบว่ามีการแพร่กระจายของมะเร็งมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเม็ดสาคู กระจายอยู่ที่ปอดทั้งสองข้างเต็มไปหมด มะเร็งได้ลุกลามเพิ่มขึ้นจากระยะที่ 2 กลายเป็นระยะที่ 4 (ซึ่งคือระยะสุดท้ายก่อนที่จะเสียชีวิต) แต่ด้วยการรักษาที่กรุงเทพมีราคาสูงมาก จึงได้ย้ายโรงพยาบาลไปรักษาตัวต่อที่ภาคใต้ โดยแพทย์ได้ระบุว่าเป็นลักษณะของกรรมพันธุ์และเป็นมากแล้วจึงรักษายาก จึงให้คีโมต่อโดยการรับประทานแทน และบอกว่าหากไม่รักษาต่อก็จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 7 เดือน
แต่เนื่องจากการรักษาตัวที่ใช้เวลานานแล้วปรากฏผลว่าทรุดลง และมะเร็งลุกลามมากขึ้นคุณสินห์ฉวี ภู่ไพบูลย์ จึงตัดสินใจเข้าหลักสูตรล้างพิษตับ ที่ "ธัญสมุย ศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม" เกาะสมุย ตามคำแนะนำของ คุณชญาบุญ เพชรพรหม (คุณกอบ) ผู้ดำเนินการและควบคุมหลักสูตรล้างพิษตับที่ธัญสมุย ซึ่งแนะนอนว่าการเข้าหลักสูตรเช่นนี้จะต้องมีการดำเนินการหลายอย่างเช่น การอดอาหาร, การดื่มน้ำผลไม้และน้ำสมุนไพรที่กำหนดในแต่ละช่วงเวลา, การดื่มน้ำด่าง (อัลคาไลน์)เพื่อลดความเป็นกรดในร่างกาย, การทำออลย์พูลลิ่ง (อมน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นแล้วบ้วนออกเพื่อดึงเชื้อโรคออกจากร่างกาย), การทำดีท็อกซ์สวนทวารล้างลำไส้, การรับประทานดีเกลือ, การดื่มน้ำมันมะกอกผสมมะนาวและน้ำผึ้งในเวลา 4 ทุ่มของคืนสุดท้าย, การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ฯลฯ
ผลการล้างพิษตับปรากฏว่าครั้งแรกนิ่วในตับและถุงน้ำดีสีเขียวเยอะมากเต็มถังเป็นสีเขียว ครั้งที่สองทำอีกสองอาทิตย์ปรากฏว่ามีไขมันออกมาด้วย
หลังจากการล้างพิษตับ 2 ครั้งแล้วไปตรวจกับแพทย์แผนปัจจุบันพบว่าเม็ดสาคูในปอดจากมะเร็งระยะที่ 4 ได้หายไปทั้งหมด !!!?
ปัจจุบันคุณสินห์ฉวี ภู่ไพบูลย์ (คุณเจี๊ยบ) ได้ไปล้างพิษตับอีกหลายครั้ง แต่ความน่าอัศจรรย์คือนอกจากจะมีชีวิตยืนยาวกว่า 7 เดือนที่แพทย์คาดการณ์แล้ว มะเร็งที่ปอดระยะที่ 4 ก็หายไปทั้งหมดด้วยตั้งแต่การล้างพิษตับในครั้งที่ 2 ปัจจุบันคุณสินห์ฉวี จึงได้ผสมผสานการล้างพิษตับผสมผสานไปกับการรักษาในแนวทางของหมอเขียว อีกทั้งยังดื่มน้ำปัสสาวะเป็นยาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่บัญญัติเอาไว้ในพระไตรปิฎกด้วย
ผมจึงได้โอกาสสัมภาษณ์ รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี อาจารย์แพทย์ ภาควิชาพยาธิวิทยา (Department of Pathology) คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งได้ให้ความเห็นต่อกรณีที่เกิดขึ้นว่า กรณีดังกล่าวนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เซลล์มะเร็งที่ปอดจะหลุดออกมาผ่านระบบขับถ่ายเพราะอยู่คนละส่วนกัน แต่น่าจะเป็นเพราะร่างกายเมื่อได้นำไขมันและของเสียจากตับและถุงน้ำดีออกไปได้แล้ว ทำให้ตับทำงานฟื้นตัวได้ดีขึ้น ภูมิต้านทานในร่างกายจึงกลับคืนมา จนเซลล์มะเร็งที่ปอดไม่สามารถจะอยู่ได้มากกว่า
รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี ยังให้ความเห็นเพิ่มเติม อุปมาเปรียบตับเหมือนรถบรรทุกที่มีหินอยู่เต็มคันรถ ยิ่งมีมากยิ่งเคลื่อนได้ช้า หากมีมากขึ้นไปอีกก็ไม่สามารถแล่นได้ หากสามารถลดภาระของรถบรรทุกให้ลดน้อยลงโดยการนำหินออกไปจากรถบรรทุกบ้าง รถบรรทุกนั้นก็จะกลับมาแล่นได้เร็วขึ้น
ทั้งนี้ รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี ยังให้ความเห็นอีกด้วยว่า สิ่งที่ออกมาจากการล้างพิษตับ เช่น ก้อนสีเขียวนั้น แท้ที่จริงหากผ่าร่างกายก็จะพบสิ่งเหล่านี้ในร่างกายอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้คือไขมันจากบริเวณถุงน้ำดีและตับ หากปล่อยทิ้งไว้ก็จะตกตะกอนกลายเป็นก้อนที่แข็งขึ้นและกลายเป็นนิ่วได้ในที่สุด ดังนั้นการสามารถนำมาออกได้น่าจะมีส่วนในการฟื้นฟูการทำงานของตับโดยตรง
อย่างไรก็ตาม รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี ยินดีให้ความร่วมมือสนับสนุนหลักสูตรล้างพิษตับ โดยการจะตรวจสิ่งที่เป็นผลิตผลจากการล้างพิษตับ เพื่อทดลองในห้องแลปให้ โดยที่จะต้องเก็บตัวอย่างเหล่านั้นในแอลกอฮอล์ 95% เพื่อที่จะได้ทำให้เกิดความก้าวหน้าในการศึกษากรณีดังกล่าวให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
สุดท้าย รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมในการควบคุมอาหาร ลดความเป็นกรดในร่างกาย รับประทานอาหารพืชผักผลไม้ และน้ำที่มีสภาพความเป็นด่าง (อัลคาไลน์)ให้มากขึ้น แต่สำคัญที่สุดมากไปกว่านั้นคือจะต้องออกกำลังกายให้สม่ำเสมอเพื่อทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงและมีภูมิต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บได้ดีขึ้น อันเป็นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เพราะการไปแม้แต่โรงพยาบาลก็ยังอาจจะพบเชื้อโรคร้ายแรงในโรงพยาบาลที่ดื้อต่อยาหลายชนิดได้ด้วย
ผมเห็นด้วยกับพลตรีจำลอง ศรีเมือง ที่ว่าลางเนื้อชอบลางยา คนแต่ละคนอาจจะหายจากโรคร้ายด้วยวิธีที่ไม่เหมือนกัน แต่อย่างน้อยกรณีศึกษากรณีนี้ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าศึกษาสำหรับคนที่ยังมีกำลังอยู่ที่จะลองการล้างพิษตับก่อนที่จะไม่มีกำลังที่จะล้างพิษตับ และหากหายจากโรคร้ายได้ก็แสดงว่ายังมีช่วงเวลาชีวิตที่ยืนยาวขึ้นจากการหมดโรคกรรมเหล่านั้น
กรด หรือ ด่าง เลือกให้ถูก กินให้เป็น
ในสมัยต้นศตวรรษที่ 20 มีนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลได้ค้นพบว่า หากร่างกายไม่ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ เราอาจล้มป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคพยาธิติดเชื้อ เบาหวาน ฯลฯ
ปริมาณออกซิเจนที่ร่างกายดูดซึม สามารถวัดได้ด้วยค่า pH ซึ่งมีระดับตั้งแต่ 0 ถึง 14 หากวัดได้ที่ค่า 0 หมายถึง เลือดมีความเป็นกรดสูง และไล่ไปจนถึงค่า pH ที่ 14 หมายถึง เลือดมีความเป็นด่างสูง ซึ่งระดับที่ร่างกายมีความสมดุลของกรดด่าง และออกซิเจนจะอยู่ที่ประมาณ 7.365 ค่อนไปทางความเป็นด่างเล็กน้อย และหากค่า pH สูง หรือต่ำจนเกินไป คุณจะรู้สึกไม่สบาย เหนื่อยล้า น้ำหนักขึ้น ท้องผูก และปวดเมื่อย
ผู้คนส่วนใหญ่ในแถบอเมริกาและยุโรป จะมีร่างกายที่มีความเป็นกรดมากกว่าด่าง เพราะอาหารที่บริโภคและการใช้ชีวิต จึงทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมออกซิเจนได้เพียงพอ ทำให้เราสามารถพบเห็นมะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในกลุ่มประเทศแถบนี้
4 สาเหตุหลัก ที่ทำให้ร่างกายมีความเป็นกรดสูง ได้แก่ ความเครียด สารพิษ เชื้อโรค และอาหารที่เรารับประทาน
อาหารที่มีความเป็นกรด
อาหารโดยส่วนใหญ่ในช่วงชีวิตของเรา โดยมากจะมีค่าเป็นกรด ซึ่งอาหารเหล่านี้จะทำให้เราป่วยและเหนื่อยง่าย และน่าเสียดายที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาหารสุดโปรดของเราทั้งนั้น เช่น
• ฟาสต์ฟู้ด
• น้ำตาล
• ชา กาแฟ
• เนื้อสัตว์
• แป้ง
• ผลไม้รสหวาน
• เดลี่โปรดักส์
• ไขมัน
• ถั่ว เม็ดมะม่วงหิมพานต์
อาหารที่มีความเป็นด่าง
อาหารที่มีความเป็นด่างสูง สามารถช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือดให้คุณ การรับประทานอาหารที่มีค่าเป็นด่าง จะช่วยให้ร่างกายของเราสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ได้ อาหารนั้นได้แก่
• ผัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผักใบเขียว
• สลัด ที่ได้มาจากผักจำพวกผักกาด ผักขม ขึ้นฉ่ายยักษ์ แตงกวา อะโวคาโด เป็นต้น
• เครื่องเทศ เช่น โหระพา สะระแหน่ ผักชีฝรั่ง ขิง
• ผลไม้ จำพวก แตงโม อะโวคาโด แตงกวา มะพร้าวอ่อน
• Wheat Grass
• กล้าหรือยอดผักต่างๆ เช่น หัวแอลฟัลฟา ถั่ว บรอกโคลี
ส่วนน้ำดื่มที่ดีที่สุดก็จะเป็นน้ำเปล่าที่มีค่าความเป็นด่าง น้ำผัก และน้ำ Wheat Grass ถ้าร่างกายของเรามีค่าความเป็นกรด เราก็ควรที่จะรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีค่าความเป็นด่าง เพื่อให้เกิดความสมดุลของระบบในร่างกาย
กล่าวโดยรวมคือ การรับประทานอาหารที่มีความเป็นด่างนั้น จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพร่างกายให้ดีขึ้นจากภายใน ทำให้เราพร้อมที่จะปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่างๆ ด้วยความสดใสและมั่นใจ
ประการสุดท้าย การมีชีวิตยืนยาวขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทุกคนก็ควรจะถามตัวเองว่าเราจะใช้เวลาชีวิตที่เหลือทำบุญสร้างกุศลก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ ศาสน์ กษัตริย์อย่างไร ตรงนั้นต่างหากเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าเพราะสุดท้ายมนุษย์ทุกคนก็ต้องตายตามอายุขัยของตัวเองอยู่ดี...
ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
|