สถิติผู้เข้าชม
 ขณะนี้มีผู้เข้าใช้ 11
 ผู้เข้าชมในวันนี้ 862
 ผู้เข้าชมทั้งหมด 5,433,476
กรุณาฝาก Email ของท่าน
  เพื่อรับข่าวสาร ที่น่าสนใจ
23 พฤศจิกายน 2567
อา จ. อ. พ. พฤ ศ. ส.
     
10  11  12  13  14  15  16 
17  18  19  20  21  22  23 
24  25  26  27  28  29  30 
             
 
อันตรายจากการกินเนื้อสัตว์ ตอนที่ 1
[15 เมษายน 2555 12:33 น.]จำนวนผู้เข้าชม 7400 คน
 อันตรายจากการกินเนื้อสัตว์ ตอนที่ 1

 

    จากการสำรวจอายุเฉลี่ยและสุขถาพอนามัยของประชากรในแต่ละส่วยของโลกพบว่า ในกลุ่มประชากรที่กินเนื้อเป็นอาหารหลัก ไม่พบผักเลยหรือกินแต่น้อย จะมีอายุสั้นมากแก่เร็วและเต็มไปด้วยโรคภัยร้ายแรงคุกคามอยู่ตลอดเวลา

     ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับกลุ่มประชากรที่กินแต่อาหารพืชผักเป็นหลัก พบว่ามีอายุยืนร่างกายแข็งแรง และปราศจากโรคภัยร้ายแรงใดๆ ฉะนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่า "การกินเนื้อสัตว์เป็นเหตุบั่นทอนอายุให้สั้นลง ทำลายสุขภาพให้เสื่อมโทรม และก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆขึ้น"

   จากผลการวิเคราะห์เนื้อสัตว์ของสถาบันโภชนาการพบอันตรายที่สำคัญยิ่ง 5 ประการดังนี้คือ

 

 1.เลือดและเนื้อของสัตว์เป็นพิษ ก่อนที่สัตว์จะถูกฆ่าโดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ๆซึ่งมีจิตสำนึกค่อนข้างสูงเช่น วัว ควาย หมู สัตว์เหล่านี้จะเกิดความกลัวสุดขีดและพยายามต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ในช่วงเวลานั้นชีวะเคมีในตัวสัตว์จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายเกิดขึ้น ฮอร์โมนที่เป็นพิษจำนวนมากจะถูกขับออกมาโดยเฉพาะ สารแอดรีนาลิน พิษของฮอร์โมนนี้จะแพร่กระจายแทรกซึมเข้าไปในเส้นเลือดและเนื้อทุกส่วน แม้ว่าสัตว์นั้นจะตายไปแล้ว แต่ว่าพิษนั้นยังคงอยู่ต่อไป
   สารแอดรีนาลินนี้สามารถพบได้ในร่างกายของคนเราด้วยเช่นกัน มันจะหลั่งออกมามากในขณะที่บุคคลผู้นั้นเกิดอารมณ์โกรธเกลียด เครียดแค้น หรือตกใจกลัวสุดขีด เพราะฉะนั้นคนที่อารมณ์รุนแรงและตึงเครียด โมโหร้าย เจ้าอารมณ์ มักมีสุขภาพร่างกายไม่ดี ใบหน้าหมองคล้ำ ป่วยเป็นโรคต่างๆเสมอ แก่เกินวัยและตายเร็ว ตรงกันข้ามกับคนที่มีจิตใจดี อารมณ์ดี จะมีใบหน้าสดใส ร่าเริง แก่ช้า อายุยืน และสุขภาพอนามัยดี สถาบันโภชนาการประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า

   "เนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าตาย เต็มไปด้วยเลือดที่เป็นพิษและสารพิษอื่นๆมากมาย" พบว่าหลังจากที่สัตว์ตายไป 2 - 3 ชั่วโมงเนื้อสัตว์จะเป็นกรดมากขึ้นทุกขณะ กรดนี้คือน้ำเนื้อซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทรับรสอยู่ที่บนลิ้น ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเนื้อมีรสชาดอร่อย ฉะนั้นผู้ที่ปรุงอาหารเนื้อจึงไม่นิยมนำเนื้อไปล้างน้ำ เพราะจะทำให้มีรสจืด แต่กรดในน้ำเนื้อมีฤทธิ์กระตุ้นสมอง กระตุ้นจิตใจ และอารมณ์ ให้มีความรุนแรงฉะนั้นชนชาติที่ นิยมกินแต่เนื้อสัตว์จะมีความก้าวร้าวรุนแรง จ้องประหัตประหารล้างผลาญ คิดสร้างสรรอาวุธขึ้นมาทำลายล้างซึ่งกันและกัน นับวันยิ่งทวีความโหดร้ายรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
   ผู้วิจัยพบว่าในเนื้อสัน 1 กิโลกรัมจะมีกรดยูริคอยู่ถึง 30 กรัม กรดยูริคในเนื้อมีสารยูเรียซึ่งเข้าไปสะสมในร่างกาย สารนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ยากแก่การขับถ่ายและไม่สามารถสลายตัวได้ง่าย ส่วนที่ตกค้างก็ถูกส่งไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย โดยจับเป็นผลึกอยู่ตามกล้ามเนื้อไขข้อและกระดูกทำให้เป็นโรคไต โรคเก๊า โรคไขข้ออักเสบ ฯลฯ
   แพทย์พบว่าไตของคนกินเนื้อ ต้องทำงานมากกว่าคนกินผักถึง 3 เท่า เพื่อขับสิ่งสกปรกและสารพิษในเนื้อที่กินเข้าไป แม้ว่าขณะอยู่ในวัยหนุ่มสาวจะไม่แสดงอาการผิดปกติ แต่พออายุมากขึ้น ไตที่ต้องทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานานๆย่อมไม่อาจจะทนไหว อาการเจ็บป่วยจึงเริ่มปรากฏให้เห็น เช่น โรคไตพิการ ไตวาย นิ่วในไต โรคเก๊า และโรคไขข้อ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการจับเป็นผลึกของกรดยูริค ภายในส่วนต่างๆของร่างกายนั่นเอง ทุกวันนี้คนเราตกอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์และอาหารดัดแปลงต่างๆ
   เมื่อร่างกายสะสมพิษเข้าไว้มากๆในที่สุดก็ต้องเจ็บป่วย ครั้นแล้วก็กลับพากันกินยาซึ่งสกัดจากสารเคมีเข้าไปรักษาความเจ็บป่วยนั้น บางครั้งยาที่คิดว่าจะช่วยรักษาความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น กลับให้ผลแทรกซ้อนข้างเคียง ทำให้อาการของโรคย่ำแย่ลงไปอีก บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันมาปฎิบัติตนกันใหม่ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

  

 2.สารเคมีในเนื้อสัตว์ นับตั้งแต่สัตว์ถูกฆ่า ตัดชำแหละเป็นชิ้นๆ แยกประเภทนำบรรจุเข้าตู้แช่แล้วขนส่งไปยังตลาดจำหน่าย เนื้อสัตว์ต้องตกค้างอยู่เป็นเวลาหลายวัน เพื่อรอผู้บริโภคมาซื้อไป กว่าจะถูกปรุงเสร็จเป็นอาหารก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ตามธรรมดาเนื้อสัตว์จะคงความสดอยู่ได้ไม่นานก็จะแปรสภาพ สีจะกลายเป็นสีเทาอมเขียว ดังนั้นในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์จึงมีการใช้สารเคมีช่วยยืดอายุการเน่าเสีย และเจือสารรักษาสีให้เนื้อมีสีแดงดูสดนาน สารเคมีเหล่านี้ทางการแพทย์พบว่าเป็นตัวการทำให้เกิดโรคมะเร็งขึ้นได้

    ปัจจุบัน ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ใช้สารเคมีและฮอร์โมนผสมลงในอาหารสัตว์เพื่อเร่งการเจริญเติบโต ทำให้สัตว์อ้วนท้วนโตเร็ว เนื้อสัตว์ที่ได้จะมีสีสรรน่าซื้อแต่การกระทำดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคได้รับสารพิษต่างๆมากมาย เมื่อบริโภคเนื้อนั้นเข้าไปเป็นประจำ มีการฉีดเซรุ่มและยาปฎิชีวนะต่างๆ เพื่อป้องกันโรคระบาดสัตว์ ผู้ที่รับประทานเนื้อเป็นประจำร่างกายมักมีการต้านยา เมื่อเจ็บป่วยยาที่กินจึงไม่ค่อยได้ผล เช่นเดียวกับการใช้ยาฆ่าแมลงศัตรูพืชมากๆ แมลงเหล่านั้นก็จะมีความต้านยามากขึ้นเรื่อยๆ ยาที่มีความรุนแรงในขนาดเดิมจะใช้ไม่ได้ผล แมลงกลับจะทวีจำนวนมากขึ้นๆ

     ปัจจุบันได้พบข้อผิดพลาดนี้จึงมีการเสนอให้ป้องกันและกำจัดศัตรูพืช โดยวิธีการรักษาสมดุลย์ของสัตว์ที่กินแมลงศัตรูพืชนั้นๆ เป็นอาหาร นักวิทยาศาสตร์อังกฤษและอเมริกาพบว่า คนกินเนื้อเป็นประจำทำให้แบคทีเรียในลำไส้เล็กจะทำปฎิกริยากับน้ำย่อยของร่างกายทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งในลำไส้ โรคนี้พบมากในกลุ่มคนที่กินเนื้อสัตว์เป็นประจำ เช่นแถบอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก แต่แพทย์ไม่พบเลยในกลุ่มคนที่รับประทานแต่อาหารพืชผักผลไม้ หรืออาหารมังสวิรัติ เช่น ในประเทศอินเดีย เป็นต้น ในอเมริกาคนเป็นมะเร็งลำไส้มาก เพราะต่างนิยมบริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก ส่วนคนในสก๊อตแลนด์กินเนื้อมากกว่าคนประเทศอังกฤษ 20 % สถิติการป่วยเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ของคนในสก๊อตแลนด์ก็มากกว่าคนในอังกฤษเป็นอัตราส่วน 20% เช่นกัน แม้แต่น้ำมันจากสัตว์ เมื่อได้รับความร้อนจะเกิดสารแมททิลคอลเรนทีน สารนี้ทำให้เกิดโรคมะเร็งในคน แต่ไม่พบสารนี้ในน้ำมันพืชเลย

 

    ปัจจุบันจึงไม่นิยมเอาน้ำมันจากสัตว์มาปรุงอาหารรับประทาน ในเนื้อย่าง 1 กิโลกรัมจะมีสารโซไพรินเทียบเท่ากับการสูบุหรี่ถึง 600 มวน ซึ่งทำให้คนเป็นมะเร็งได้เช่นเดียวกัน มีการพิสูจน์พบว่าในเนื้อวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้าที่ฉีดพ่นด้วย ดี.ดี.ที ก็จะพบสาร ดี.ดี.ที อยู่ด้วยในเนื้อวัวนั้นเป็นปริมาณที่ก่อให้เกิดอันตราย ซึ่งสาร ดี.ดี.ที นี้สามารถทำให้เป็นหมัน มะเร็ง และโรคตับ รวมทั้งสารตัวอื่นที่คิดค้นขึ้นใหม่ที่ทำให้แมลงกลายเป็นหมันก็น่าจะมีผลกับมนุษย์เช่นกัน เช่น ไปทำลายโครโมโซมเพศชาย กระตุ้นการเกิดมะเร็ง ลฯล ดังนั้นถ้าเราสังเกตดีจะพบว่าเด็กในยุคนี้มีการเบี่ยงเบนทางเพศมากขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารบางตัวที่มีอยู่ในพลาสติกและโฟมที่เมื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกายก็จะเข้าไปทำลายโครโมโซมเพศชายและจะละลายออกมามากเมื่อเรานำไปเป็นภาชนะใส่อาหารร้อนๆ ถึงแม้จะนำไปบรรจุอาหารที่มีอุณหภูมิปกติสารตัวนี้ก็ยังสามารถละลายออกมาผสมกับอาหารได้อยู่ดี เพียงแต่จะน้อยกว่าการนำไปเป็นภาชนะใส่ของร้อนๆเท่านั้นเอง

 

   จากการทดลองของมหาวิทยาลัยไอโอวายืนยันว่า "สาร ดี.ดี.ที ในร่างกายของคนส่วนใหญ่ได้รับมาจากเนื้อสัตว์ นักวิทยาศาสตร์พบว่าเนื้อสัตว์สามารถเก็บกักสาร ดี.ดี.ที ไว้ได้ในปริมาณมากกว่าพืชผักผลไม้ ใบหญ้าถึง 13 เท่า"

    ปัจจุบันเกษตรกรใช้ยาฆ่าแมลงในปริมาณที่มาก ฉะนั้นผักที่มีใบห่อหุ้มเป็นชั้นๆ เช่น ผักกาดขาว ผู้ปรุงควรดึงเปลือกชั้นนอกออกทิ้งไปสัก 2 - 3 ใบ ส่วนกระหล่ำปลีดอกควรนำไปล้างในน้ำที่ละลายด้วยเกลือป่นเล็กน้อย ผักที่เก็บกักปริมาณยาฆ่าแมลงไว้มาก ควรล้างให้นาน โดยปล่อยน้ำให้ไหลตลอดเวลา เพื่อล้างยาฆ่าแมลงออกให้หมดก่อนนำไปปรุงอาหาร

     ขอแนะนำว่าควรเลือกซื้อผักที่ปลูกโดยวิธีธรรมชาติและปลอดสารพิษมาปรุงอาหาร (Organized Grown And Non-Pesticide) หนังสือพิมพ์ชิคาโคทรีบูน (Chicago Tribune) ได้ตีพิมพ์เรื่องการเลี้ยงดูอย่างผิดธรรมชาติใน อุตสาหกรรมปศุสัตว์ว่า "เป็นการทำทำลายสมดุลย์ชีวเคมีในร่างกายของสัตว์ เช่นอุตสาหกรรมเลี้ยงไก่ ลูกไก่ที่เกิดใหม่จะถูกฉีดกระตุ้นด้วยยาอาหารและสารเคมีต่างๆ เพื่อเร่งการเจริญเติบโต สัตว์จำนวนนับหมื่นๆชีวิตถูกจำกัดให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่คับแคบ ชีวิตที่น่าสงสารทั้งหมดอยู่ในกรงขนาดจิ๋ว เป็นการเลี้ยงในระบบขั้นบันได เมื่อสัตว์มีขนาดโตขึ้นก็จะเลื่อนลงมาตามชั้นที่จัดวาง สัตว์ถูกเลี้ยงให้อยู่ในพื้นที่จำกัด เพื่อให้ตัวโตไขมันมากมีเนื้อเยอะ ทุกชีวิตไม่มีโอกาสได้เห็นแสงอาทิตย์แสงจันทร์ ไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์หรือการออกกำลังกายเลย ไก่จึงขาดความแข็งแรงตามธรรมชาติ จะพบว่าไก่จำนวนมากที่เลี้ยงโดยวิธีดังกล่าวมีรูปร่างวิปริตผิดธรรมดามีเนื้องอกขั้นร้ายแรงเกิดขึ้นตามส่วนต่างการเลี้ยงสัตว์ในลักษณะเช่นนี้เป็นการเลี้ยงดูที่ผิดธรรมชาติอย่างยิ่ง เนื้อสัตว์ที่ได้จึงเต็มไปด้วยสารเคมีที่เป็นพิษเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้บริโภค"


อ่านต่อตอนที่ 2



ที่มาของภาพและบทความ:

Internet

http://www.96rangjai.com
http://khusaifah-khusaifah.blogspot.com
http://news.banphan.com 
Woman’s Story

 
 
 


[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]
สาระความรู้ทั่วไปสำหรับเจ้าของน้องตูบ
- อาหารแสลง ที่ควรเลี่ยงเมื่อป่วย [15 เมษายน 2555 12:33 น.]
- พืชขาดธาตุอาหารอะไร ?..ใส่ใจสักนิด... [15 เมษายน 2555 12:33 น.]
- ปวดท้อง...ลางบอกโรคร้ายของคุณ [15 เมษายน 2555 12:33 น.]
- การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำและลดความเสี่ยง จากโรคมะเร็ง [15 เมษายน 2555 12:33 น.]
- ซอสปรุงรส [15 เมษายน 2555 12:33 น.]
- รู้จักไหม?...“ต้นผึ้ง” มีหนึ่งเดียวที่ราชบุรี [15 เมษายน 2555 12:33 น.]
- เลือดจระเข้ [15 เมษายน 2555 12:33 น.]
- การทำน้ำด่าง (อัลคาไลน์) สำหรับดื่มอย่างง่าย [15 เมษายน 2555 12:33 น.]
- กิน ‘สมอ’ ดีเสมอ [15 เมษายน 2555 12:33 น.]
- ปัสสาวะหลวงพ่อ [15 เมษายน 2555 12:33 น.]
ดูทั้งหมด

Copyright@2010 by www.nongtoob.com All right reserved.
Engine by MAKEWEBEASY