สถิติผู้เข้าชม
 ขณะนี้มีผู้เข้าใช้ 7
 ผู้เข้าชมในวันนี้ 711
 ผู้เข้าชมทั้งหมด 5,469,987
กรุณาฝาก Email ของท่าน
  เพื่อรับข่าวสาร ที่น่าสนใจ
21 ธันวาคม 2567
อา จ. อ. พ. พฤ ศ. ส.
10  11  12  13  14 
15  16  17  18  19  20  21 
22  23  24  25  26  27  28 
29  30  31         
             
 
อาหาร 12 อย่าง ที่พึงบริโภคสัปดาห์ละครั้ง (1)
[8 เมษายน 2554 11:21 น.]จำนวนผู้เข้าชม 5117 คน


กะหล่ำปลีแดง
(กะหล่ำปลีม่วง)
      จากการค้นคว้ากะหล่ำเป็นอาหารที่ช่วยในเรื่องของไดเอต และลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งเต้านมด้วย กะหล่ำเป็นพืชที่มีกากใยอาหารสูง และอุดมไปด้วยคุณค่าสารอาหารหลายชนิด เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต โซเดียม วิตามินซี ซึ่งพบค่อนข้างมากกว่ากะหล่ำปลีสีเขียวถึงสองเท่า ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน มี่สารซัลเฟอร์ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ และต้านสารก่อมะเร็งที่เข้าสู่ร่างกาย การกินกะหล่ำปลีบ่อย ๆ จะช่วยลดโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งในช่องท้อง ลดระดับคอเลสเตอรอล และลดการเป็นโรคสมองเสื่อมและโรคเกี่ยวกับเส้นประสาททั้งหลายได้
   
แครอท 
     แครอทอุดมไปด้วยวิตามินเอ และเกลือแร่ ซึ่งวิตามินเอนั้น เอาไว้ใช้ช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิว และเนื้อเยื่อ ช่วยยับยั้งความเสื่อมของอวัยวะสำคัญ ๆ ของร่างกาย มีความเชื่อว่า แครอทช่วยรักษาโรคมะเร็ง ช่วยลดความเสี่ยงจากโรค เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาต ความดันโลหิตสูง ต้อกระจก และยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน เร่งการสร้างเซลล์ในแผลผ่าตัด นอกจากนี้ยังอุดมด้วยวิตามินบี วิตามินซี และแคลเซียมที่ดูดซึมง่าย มีแพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด อีกทั้งวิตามินและเกลือแร่ที่มีอยู่นั้นก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันโรค ประโยชน์ของแครอทนั้นนอกจากเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอย่างที่ได้บอกไปแล้วนั้น ในแครอทก็ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความชรา แถมยังทำให้ผิวพรรณของเราเปล่งปลั่งเหมือนหนุ่มสาว โดยการรับประทานนั้น ถ้าต้มสุกก่อนจะทำให้รับฟาลคารินอล (falcarinol) เพิ่มขึ้น 25% เทียบกับแครอทดิบ อีกทั้งนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิลทำการศึกษาพบว่าถ้าต้มแครอททั้งหัวก่อนนำมาหั่นจะมีระดับสารต้านมะเร็ง "ฟาลคารินอล (falcarinol)" สูงกว่าแครอทที่หั่นก่อนต้ม เพราะเมื่แครอทถูกความร้อน จะทำให้ไม่สามารถกักเก็บน้ำที่อยู่ภายในได้ ความเข้มข้นของสารฟาลคารินอลจะเพิ่มขึ้นเมื่อแครอทสูญเสียน้ำนั่นเอง

มันเทศ
     เนื้อมันชุ่มฉ่ำ มีรสหวาน และมีปริมาณวิตามินเอสูง มันเทศสุกครึ่งถ้วยให้วิตามินซีประจำวัน 61% นักค้นคว้าสหรัฐฯ บอกว่ามันเทศยังช่วยป้องกันโรคเบาหวานเนื่องจากเป็นผักปลูกในดินที่มีรูปแบบโปรตีนคล้ายกับผลิตภัณฑ์ซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นมาคุมระดับน้ำตาลในเบาหวาน เลี่ยงหัวมันที่แตกปริ ควรเก็บไว้ในที่เย็น มืด และมีอากาศถ่ายเทได้ดี

กระเทียม
     กระเทียมเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณในการบำบัดรักษาโรคได้หลายชนิด กระเทียมดีต่อหัวใจ การบริโภคกระทียมเป็นประจำจะไปทำความสะอาดเลือด ช่วยให้ผิวหนังดีขึ้น รักษาผิวหนังที่เป็นตุ่มแผล ผิวหนังด่างดำ สิว และฝี กระเทียมช่วยลดความดันโลหิตสูง เพราะขยายเส้นเลือดให้กว้างขึ้น ป้องกันผนังเลือดหนา และแข็งตัว เพราะยับยั้งการสร้างสารกรอมโปเซนบี 2 ซึ่งสารนี้เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้เลือดจับตัวเป็นก้อน และเป็นสาเหตุทำให้ความดันโลหิตสูงนั่นเอง ถ้าจะปรุงกระเทียมให้บดกระเทียมสดสิบเม็ดก่อนปรุงสักสิบนาที เพื่อให้ส่วนผสมที่มีประโยชน์ก่อตัวก่อนถูกไฟความร้อนในการปรุงอาหารทำลายไป

กล้วย
     นักค้นคว้าเกาหลีเน้นว่ากล้วยคือผลไม้เพียบไปด้วยโพลีฟีนอลหลักที่ปกป้องการทำงานด้านโสตประสาทและแม้แต่โรคสมองเสื่อม เพราะเป็นแหล่งโปตัสเซียมที่ดี ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ายังช่วยปกป้องความเสี่ยงจากอาการหัวใจพิบัติด้วย คำแนะนำคืออย่าเก็บกล้วยในตู้เย็นซึ่งความเย็นจะทำให้เป็นสีคล้ำ ป้องกันกล้วยเปลี่ยนสีหลังปอกด้วยการบีบน้ำมะนาวราดลงไป

เห็ด
     เห็ดเป็นแหล่งอาหารโปรตีนจากธรรมชาติ ซึ่งถึงแม้จะขาดกรดอะมิโนบางตัวแต่ให้คุณค่าทางโภชนาการและมีสรรพคุณทางยา ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย และช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากโรคร้ายต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน อัลไซเมอร์ หลอดเลือดหัวใจอุดตัน และความดันโลหิตสูง เป็นต้น เห็ดจัดเป็นอาหารประเภทผักที่ปราศจากไขมัน มีปริมาณน้ำตาลและเกลือค่อนข้างต่ำ และยังมีรสชาติคล้ายกับเนื้อสัตว์ จัดเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี นอกจากนี้เห็ดยังอุดมไปด้วยวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบีรวม (ไรโบฟลาวิน) และไนอาซิน ซึ่งจะช่วยควบคุมการทำงานของระบบย่อยอาหาร ไม่จำเป็นต้องบริโภคเห็ดราคาแพง เห็ดกระดุมหรือแชมปิญองนั้นก็จัดว่ามีรสชาติและคุณค่าทางอาหารพอ ๆ กับเห็ดชิตาเกะเลยทีเดียว นอกจากนี้ผลการศึกษาในอเมริกายังพบว่าเห็ดแชมปิญองนั้นมีบทบาทช่วยในการรักษาและป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมมากที่สุด สารบางอย่างในเห็ดชนิดนี้ไปช่วยยับยั้งเอ็นไซม์ aromatase ทำให้เกิดการยับยั้งการแปรฮอร์โมนแอนโดรเจนให้กลายเป็นเอสโตรเจนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง ก็ลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วย สถาบันอาหารอเมริกายังบอกอีกว่าการรับประทานเห็ดแชมปิญองขนาดกลาง ๆ 5 ชิ้น จะได้ปริมาณไรโบฟลาวินมากพอ ๆ กับการดื่มนมสดถึง 8 ออนซ์เลยทีเดียว อีกทั้งเห็ดยังมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผักผลไม้อื่น ๆ อีกด้วย


ที่มา : นิตยสาร Slimming ฉบับเดือนเมษายน 2554

 

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]
สาระความรู้ทั่วไปสำหรับเจ้าของน้องตูบ
- อาหารแสลง ที่ควรเลี่ยงเมื่อป่วย [8 เมษายน 2554 11:21 น.]
- พืชขาดธาตุอาหารอะไร ?..ใส่ใจสักนิด... [8 เมษายน 2554 11:21 น.]
- ปวดท้อง...ลางบอกโรคร้ายของคุณ [8 เมษายน 2554 11:21 น.]
- การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำและลดความเสี่ยง จากโรคมะเร็ง [8 เมษายน 2554 11:21 น.]
- ซอสปรุงรส [8 เมษายน 2554 11:21 น.]
- รู้จักไหม?...“ต้นผึ้ง” มีหนึ่งเดียวที่ราชบุรี [8 เมษายน 2554 11:21 น.]
- เลือดจระเข้ [8 เมษายน 2554 11:21 น.]
- การทำน้ำด่าง (อัลคาไลน์) สำหรับดื่มอย่างง่าย [8 เมษายน 2554 11:21 น.]
- กิน ‘สมอ’ ดีเสมอ [8 เมษายน 2554 11:21 น.]
- ปัสสาวะหลวงพ่อ [8 เมษายน 2554 11:21 น.]
ดูทั้งหมด

Copyright@2010 by www.nongtoob.com All right reserved.
Engine by MAKEWEBEASY