  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		| 
			สถิติผู้เข้าชม
		 | 
	 
	
		
			  ขณะนี้มีผู้เข้าใช้
		 | 
		
			14
		 | 
	 
	
		
			  ผู้เข้าชมในวันนี้
		 | 
		
			399
		 | 
	 
	
		
			  ผู้เข้าชมทั้งหมด
		 | 
		
			5,810,617
		 | 
	 
	
	
	
  |  
	 |  
	| 
 |  
 
	
	
		 |  
		
			
				
	
		| 
					4 พฤศจิกายน 2568
				 | 
	 
	
				| 
			อา		 | 
				
			จ.		 | 
				
			อ.		 | 
				
			พ.		 | 
				
			พฤ		 | 
				
			ศ.		 | 
				
			ส.		 | 
			 
	|   |   |   |   |   |   | 						
					1  |  						| 
					2  | 						
					3  | 						
					4  | 						
					5  | 						
					6  | 						
					7  | 						
					8  |  						| 
					9  | 						
					10  | 						
					11  | 						
					12  | 						
					13  | 						
					14  | 						
					15  |  						| 
					16  | 						
					17  | 						
					18  | 						
					19  | 						
					20  | 						
					21  | 						
					22  |  						| 
					23  | 						
					24  | 						
					25  | 						
					26  | 						
					27  | 						
					28  | 						
					29  |  						| 
					30  | 						
					  | 						
					  | 						
					  | 						
					  | 						
					  | 						
					  |   
			 | 
		 
		 |  
	 
	
	
	
		 | 
		
						
				 			
							
		
							
					 
				
					 | 
	 
	
		 | 
	 
	
	
				
	
		
			
				ตำลึง
			
			 
			[7 กันยายน 2554  16:25 น.]จำนวนผู้เข้าชม 8811 คน		 | 
	 
	
		| 
					
								 | 
	 
	
		
			ตำลึง 
 
  
 
ชื่อวิทยาศาสตร์  :  Cocconia grandis (L.)  Voigt 
ชื่อสามัญ  :  Ivy Gourd, Scarlet Fruited Gourd 
ชื่อวงศ์  :  Cucurbitaceae 
ชื่ออื่น ๆ  :  ตำลึง (ภาคกลาง), ผักแคบ (ภาคเหนือ), ตำนิน (ภาคอีสาน) 
 
     ตำลึงมีเขตกระจายพันธุ์ในเขตร้อนของแอฟริกา เอเชีย และตอนเหนือของออสเตรเลีย เป็นไม้เลื้อย อายุหลายปี เมื่อต้นแก่ เถาจะใหญ่และมีเนื้อไม้ ใบหยักเว้าเป็นแฉก 5 เหลี่ยม อาจหยักตื้นหรือลึก มีมือเกาะออกจากโคนก้านใบ ผลิดอกตามซอกใบใกล้ปลายยอด เป็นดอกแยกเพศต่างต้นกัน สีขาว มี 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นรูประฆัง ในดอกเพศเมียมีรังไข่รูปรีถึงรูปกระสวยอยู่ใต้ชั้นกลีบเลี้ยง เมื่อติดผล รังไข่จะขยายเป็นรูปรี ผลสีเขียวมีลายขาว เมื่อสุกสีแดง มีเนื้อนุ่ม ภายในมีเมล็ดรูปรีจำนวนมาก 
 
วิธีบริโภค 
     คงไม่มีใครปฏิเสธถึงความอร่อยของตำลึงไปได้ เมื่อเด็ดยอดอ่อน ๆ มาทำแกงจืด แกงเลียง หรือใส่ในไข่เจียว บ้างก็ใส่ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าแทนคะน้าได้ ให้เบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคตาบอดในเด็กและโรคตาฟาง บางท้องถิ่นจะนำผลดิบมาต้มกินกับน้ำพริกหรือใส่ในแกงส้ม บ้างก็นำมาดองหรือเชื่อมแช่อิ่มเป็นของหวาน ส่วนผลสุกมีรสหวาน กินเป็นผลไม้ได้เช่นกัน 
 
ประโยชน์อื่น ๆ  
     ยอดตำลึงมีสารที่ช่วยย่อยแป้ง จึงช่วยบรรเทาอาการท้องอืดได้ยามที่มื้อนั้นกินแป้งมากไป หรือนำใบสด 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียด ใส่น้ำเล็กน้อย แล้วคั้นน้ำทาบริเวณที่เกิดอาการอยู่เรื่อย ๆ จะช่วยบรรเทาอาการคัน อักเสบ หรือปวดแสบปวดร้อนเนื่องจากแมลงกัดต่อยได้ ส่วนใบของต้นเพศผู้ใช้ผสมเป็นยาเขียว ช่วยลดไข้ ถอนพิษ ขับเสมหะ ผลดิบก็ให้วิตามินเอสูง ส่วนเมล็ดตำกับน้ำมันมะพร้าวใช้ทาแก้หิด มีการวิจัยพบว่า ในราก เถา และใบมีสารที่มีคุณสมบัติคล้ายยาทอลบูทาไมด์ (talbutamide) ที่ใช้รักษาผู้ป่วยเบาหวาน การกินตำลึงจึงช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ส่วนหนึ่ง 
 
ที่มา  :  หนังสือ "ผักพื้นบ้าน 1" โดย อุไร จิรมงคลการ		 | 
	 
		
		| 
			
		 | 
	 
	 
 
 |  
		 
 
		 |