มะเดื่อฝรั่ง(Fig)
ผลไม้ชนิดนี้แม้จะไม่ใช่ผลไม้ไทยแต่ก็มีการนำมาปลูกในประเทศไทยนานแล้วจึงได้นำมาลงเพื่อเป็นความรู้ สำหรับในประเทศไทย มีหลายสายพันธ์ สายพันธุ์ญี่ปุ่นเป็นสายพันธ์หนึ่งที่ได้รับความนิยม โดยเป็นพันธุ์ที่ผ่านการปลูกทดสอบในไทยมานานหลายปีแล้ว พร้อมทั้งเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลทางวิชาการตามหลักวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้อง และพบว่าพันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่ดีเด่นมากพันธุ์หนึ่งในบรรดาพันธุ์ที่นำ มาทดสอบทั้งหมด ซึ่งพบว่าพันธุ์นี้สามารถปรับตัวได้ดีกับสภาพภูมิอากาศในบ้านเรา สามารถติดผลดกมากได้เองไม่ต้องมีการผสมเกสรโดยแมลง (partenocarpic)
ไม่ต้องปลูกหลายต้น แม้มีเพียงต้นเดียวก็ติดผลได้ ทนร้อน ชอบแดดจัดทั้งวัน ไม่ชอบร่มเงา ผลไม่มีร่วงหรือสลัดผลทิ้ง ขั้วผลเหนียว ขนาดผลประมาณเท่าไข่ไก่หรือไข่เป็ด ( 1-1.5 ขีดต่อผล หรือ 7-10ผลต่อกก.) เมื่อสุกผิวผลแดงจัดถึงม่วงเข้ม เนื้อในสีแดงสตรอเบอรี่ เมล็ดเล็กลีบกรุบกรอบทานได้ ผลใช้ทานสดๆ รสชาติจะหวานเข้มข้น ไม่มีเปรี้ยวปนแม้แต่นิด หอมคล้ายกลิ่นกุหลาบ เนื้อละเอียดแทบละลายในปากโดยเกือบไม่ต้องเคี้ยว เมื่ออบแห้ง ตากแห้ง จะมีสีเกือบดำ รสชาติหวานจัด เนื้อเนียนละเอียด หรือเมื่อทำการแปรรูปต่างๆ เช่น ทำแยมผลไม้ บรรจุกระป๋อง ลอยแก้ว แช่อิ่ม ผสมในชาคล้ายชาไข่มุก ผสมในการทำน้ำผลไม้ปั่น หรือใช้เป็นส่วนผสมในการทำขนมทดแทนลูกเกดได้ดี จะให้ผลิตภัณท์ที่มีสีสวย ออกไปทางแดงหรือม่วง
ปกติมะเดื่อฝรั่งสายพันธุ์นี้จะติดผลเองตามธรรมชาติปีละ 2 ครั้ง หากไม่มีการตัดแต่ง คือ ครั้งแรก ออกผลจากกิ่งอายุมาก(กิ่งแก่สีน้ำตาล) ในเดือน กย. และทยอยเก็บผลทุกวันได้ 3-4 เดือน และออกผลครั้งที่สองจากกิ่งอายุน้อย (กิ่งที่กำลังเติบโต) ในเดือน เม.ย. และทยอยเก็บผลทุกวันนับไปจากนี้อีก 3-4 เดือนเช่นกัน แต่หากใช้การตัดแต่งกิ่งเข้าช่วย ง่ายๆโดยการตัดปลายยอดทิ้งเสมอๆ เมื่อมีกิ่งแตกใหม่จะมีการติดผลทันที จึงสามารถบังคับผลให้ออกในช่วงที่ต้องการได้ แม้กระทั่งให้ออกผลตลอดปี ต้นพันธุ์ที่จำหน่าย จะมีความสูงมากกว่า 50 ซม. ปลูกในกระถางเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 นิ้ว มีการติดผลแล้วทุกต้น ตั้งแต่ส่วนโคนใบล่างไล่ไปจนใบยอดสุด และจะใช้ระยะเวลาในการเจริญเติบโตของผลอีกประมาณ 2.5 เดือนผลจะเริ่มสุก รับประทานได้ และผลจะทยอยสุกเกือบทุกวัน อีกนานหลายเดือน
คุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณ:
มะเดื่อฝรั่งมีคุณค่าทางอาหารสูงสุดจัดอยู่ในสิบอันดับ แรกของผลไม้ที่มีในโลก มีประวัติการปลูกมาตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาล(มากกว่า 2000 ปี) มีสารอาหารที่มีคุณประโยชน์กับร่างกายมากมาย ในตำนานยุโรป และ ตะวันออกโบราณได้มีการจารึกไว้ว่า ชาวกรีก ชาวโรมัน และ ชาวอียิป ได้ให้ผลฟิกส์แก่นักรบกินระหว่างอาหารทุกมื้อเพื่อกระตุ้นความแข็งแกร่ง ของกระดูกและกล้ามเนื้อ เพิ่มทักษะ ปฏิภาณ ไหวพริบ และ กำลังวังชาเมื่ออยู่ในสนามรบ
.
- มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็กสูงมาก อันจะช่วยเสริมสร้าง ซ่อมแซม เพิ่มความแกร่งให้กล้ามเนื้อ เสริมความแข็งแรงของกระดูกและฟัน แต่ไม่มีธาตุโซเดียม ไขมัน หรือ คลอเรสเตอรอล
- ช่วยสร้างสมดุลของกรดด่างในร่างกาย ถนอมสุขภาพลดรอยเหี่ยวย่นทำให้อ่อนวัยลง
- ป้องกันโรคนิ่วในไต กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคปอด ช่วยฟอกตับและม้าม
- มีใยอาหารสูงมากกว่าผักและผลไม้ใดๆมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆช่วยในระบบขับ ถ่ายกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ลดปัญหาท้องผูก
- มีโปรตีน เอนไซม์โดยเฉพาะ photolytic enzyme ที่ช่วยย่อยอาหารและสมานแผลในปาก
- มีวิตามินเอ บี 1 บี 2 วิตามินซี ไนอาซิน และมี antioxidant polyphenol สูง ป้องกันโรคมะเร็งต่างๆ ในทางการแพทย์สารสกัดจาก ฟิกส์ได้ถูกทดลองใช้ในการยับยั้งเซลล์มะเร็ง
- ให้พลังงานสูงจากคาร์โบไฮเดรต ในขณะที่ปราศจากไขมัน โคเลสเตอรอล หรือโซเดียม จึงไม่มีปัญหากับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือโรคตับ
กรดอินทรีย์ของมะเดื่อฝรั่งมีคุณสมบัติช่วยสร้างสมดุลระหว่างความเป็น กรด-ด่าง ในร่างกายมีโปรตีน Fictin ที่สามารถย่อยเนื้อได้ดี และมีปริมาณน้ำตาลธรมชาติมากถึง 83 % ได้แก่ น้ำตาลกลูโครส ฟรุกโตส และซูโครส ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานความร้อนสูงอีกทั้งยัง
-เป็นแหล่งอาหารประเภทให้เส้นใยสูง ช่วยในการกำจัดของเสียของร่างกายทำให้ขับถ่ายดีขึ้น ป้องกันนิ่ว กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคปอด ฟอกตับ ม้าม และที่สำคัญมีสารยับยั้งและป้องกันเซลล์มะเร็ง เป็นยารักษาโรค ช่วยระงับการเจริญเติบโตของมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย
มะเดื่อฝรั่งจัดเป็นผลไม้ที่บริโภคเป็นอาหารและยา มีข้อมูลที่เป็นวิชาการและยอมรับกันทั่วโลกว่า มะเดื่อฝรั่งมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก โดยเฉพาะปริมาณของธาตุแคลเซียม ไม่มีธาตุโซเดียมที่เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคความดันโลหิตสูง นอกจากนั้นในผลไม้ชนิดนี้ไม่มี คอเลสเตอรอล ในบางตำราถึงกับบอกว่าถ้ามีการบริโภคมะเดื่อฝรั่งเป็นประจำจะช่วยในการ ป้องกันโรคนิ่วในไตป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและยังช่วยฟอกตับและม้าม หลายคนทราบดีว่าคนไทยหันมารักสุขภาพกันมาก...
|