  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		  | 
	 
	
		| 
			สถิติผู้เข้าชม
		 | 
	 
	
		
			  ขณะนี้มีผู้เข้าใช้
		 | 
		
			11
		 | 
	 
	
		
			  ผู้เข้าชมในวันนี้
		 | 
		
			403
		 | 
	 
	
		
			  ผู้เข้าชมทั้งหมด
		 | 
		
			5,810,621
		 | 
	 
	
	
	
  |  
	 |  
	| 
 |  
 
	
	
		 |  
		
			
				
	
		| 
					4 พฤศจิกายน 2568
				 | 
	 
	
				| 
			อา		 | 
				
			จ.		 | 
				
			อ.		 | 
				
			พ.		 | 
				
			พฤ		 | 
				
			ศ.		 | 
				
			ส.		 | 
			 
	|   |   |   |   |   |   | 						
					1  |  						| 
					2  | 						
					3  | 						
					4  | 						
					5  | 						
					6  | 						
					7  | 						
					8  |  						| 
					9  | 						
					10  | 						
					11  | 						
					12  | 						
					13  | 						
					14  | 						
					15  |  						| 
					16  | 						
					17  | 						
					18  | 						
					19  | 						
					20  | 						
					21  | 						
					22  |  						| 
					23  | 						
					24  | 						
					25  | 						
					26  | 						
					27  | 						
					28  | 						
					29  |  						| 
					30  | 						
					  | 						
					  | 						
					  | 						
					  | 						
					  | 						
					  |   
			 | 
		 
		 |  
	 
	
	
	
		 | 
		
						
				 			
							
		
							
					 
				
					 | 
	 
	
		 | 
	 
	
	
				
	
		
			
				บอน
			
			 
			[7 กันยายน 2554  15:28 น.]จำนวนผู้เข้าชม 8616 คน		 | 
	 
	
		| 
					
								 | 
	 
	
		
			บอน 
 
  
 
ชื่อวิทยาศาสตร์  :  Colocasia esculenta (L.) Schott. 
ชื่อสามัญ  :  Cocoyam, Dasheen, Taro 
ชื่อวงศ์  :  Araceae 
ชื่ออื่น ๆ  :  บอน, เผือก (ทั่วไป), บอนเขียว (ภาคกลาง), บอนหอม (ภาคเหนือ), บอนจืด (ภาคอีสาน), บอนน้ำ (ภาคใต้) 
 
     บอน หรือที่รู้จักในชื่อ "เผือก" เป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี มีหัวอยู่ใต้ดิน สามารถแตกไหลได้ ต้นสูงกว่า 1.50 เมตร ก้านใบยาว แผ่นใบรูปหัวใจเรียว ขนาดใหญ่ 30 - 40 ซม. แผ่นใบและก้านใบสีเขียวหรือเขียวปนน้ำตาลแดงเรื่อ ช่อดอกออกจากซอกกาบใบกึ่งกลางต้น มีกาบรองช่อดอกสีน้ำตาลแดงเรื่อห่อหุ้ม ปลีดอกสีครีมอยู่ภายใน และมีกลิ่นหอมตอนเย็นถึงเช้า 
 
วิธีบริโภค 
     นิยมนำยอดใบอ่อน ก้านใบ และไหลอ่อนมากินเป็นผัก โดยปอกเปลือกสีเขียวที่ผิวนอกของก้านออกก่อน นำมาต้มจิ้มน้ำพริก หรือใส่ในแกงส้ม แกงกะทิ บอนชนิดนี้ในน้ำยางมีแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) ที่ทำให้คัน 
 
เคล็ดลับในการปรุงบอนไม่ให้คันและอร่อย 
     คือ ก่อนปอกเปลือกก้านบอนควรทามือด้วยปูนแดงที่กินกับหมากให้ทั่วทั้งมือก่อน และหลังจากปอกเปลือกผิวนอกแล้วห้ามล้างน้ำเย็น ให้นำมาต้มใส่ในน้ำเดือดและคั้นน้ำทิ้ง 2 - 3 ครั้งก่อนนำมาประกอบอาหาร จะช่วยให้บอนอร่อยขึ้น บางท่านอาจนำมาเผาก่อนก็ได้ หรือจะนำมาปรุงกับเครื่องปรุงที่มีรสเปรี้ยว เช่น น้ำมะขาม ยอดมะขาม ส้มป่อย หรือน้ำมะกรูด เป็นต้น เพื่อช่วยดับพิษคันของบอน 
     ในธรรมชาติมีทั้งต้นบอนที่คันและไม่คัน วิธีสังเกตให้ดูลำต้นที่มีสีน้ำตาลแดงเรื่อหรือสีเขียว ไม่มีนวลเกาะจับ เมื่อตัดก้านใบทิ้งไว้สักครู่จะไม่มีคราบสีเขียวคล้ำเกิดขึ้น แสดงว่าเป็นบอนไม่คัน หรือที่เรียกว่าบอนหวาน ซึ่งถ้าลองทาน้ำยางไว้บนหลังมือก็จะไม่คัน 
     สำหรับเผือก แท้จริงแล้วเป็นพืชชนิดเดียวกับบอน ถ้าขึ้นในน้ำจะเรียก "บอน" และกินก้านใบ ส่วน "เผือก" จะปลูกบนบก มีหัวสะสมอาหารขนาดใหญ่ที่นำมากินได้ เผือกที่ปลูกทั่วไปมี 4 พันธุ์ คือ เผือกหอม เผือกเหลือง เผือกไม้หรือเผือกไหหลำ และเผือกตาแดง สำหรับเผือกที่เรานิยมกินเป็นเผือกหอม ซึ่งมีหัวใหญ่ร่วนซุย และมีกลิ่นหอม ซึ่งบางท้องถิ่นก็นิยมกินก้านเผือกเช่นเดียวกับก้านบอน 
 
วิธีปอกเผือกไม่ให้คัน 
     ควรล้างเผือกทั้งหัวให้สะอาด เช็ดให้แห้ง ปอกเปลือกให้หนา เพื่อให้แคลเซียมออกซาเลตหลุดออกไป ให้ธาตุฟลูออไรด์สูงมาก อีกทั้งมีโปรตีน แคลเซียม และฟอสฟอรัสที่เดียงพอกับปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ทั้งยังช่วยขับเสมหะ ปรับการทำงานของกระเพาะให้ปกติ ช่วยบำรุงไต และขับพิษในช่องท้อง 
 
ที่มา : หนังสือ "ผักพื้นบ้าน 1" โดย อุไร จิรมงคลการ		 | 
	 
		
		| 
			
		 | 
	 
	 
 
 |  
		 
 
		 |