สถิติผู้เข้าชม
 ขณะนี้มีผู้เข้าใช้ 10
 ผู้เข้าชมในวันนี้ 1,497
 ผู้เข้าชมทั้งหมด 5,450,314
กรุณาฝาก Email ของท่าน
  เพื่อรับข่าวสาร ที่น่าสนใจ
4 ธันวาคม 2567
อา จ. อ. พ. พฤ ศ. ส.
10  11  12  13  14 
15  16  17  18  19  20  21 
22  23  24  25  26  27  28 
29  30  31         
             
 
บอน
[7 กันยายน 2554 15:28 น.]จำนวนผู้เข้าชม 8137 คน
บอน



ชื่อวิทยาศาสตร์  :  Colocasia esculenta (L.) Schott.
ชื่อสามัญ  :  Cocoyam, Dasheen, Taro
ชื่อวงศ์  :  Araceae
ชื่ออื่น ๆ  :  บอน, เผือก (ทั่วไป), บอนเขียว (ภาคกลาง), บอนหอม (ภาคเหนือ), บอนจืด (ภาคอีสาน), บอนน้ำ (ภาคใต้)

     บอน หรือที่รู้จักในชื่อ "เผือก" เป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี มีหัวอยู่ใต้ดิน สามารถแตกไหลได้ ต้นสูงกว่า 1.50 เมตร ก้านใบยาว แผ่นใบรูปหัวใจเรียว ขนาดใหญ่ 30 - 40 ซม. แผ่นใบและก้านใบสีเขียวหรือเขียวปนน้ำตาลแดงเรื่อ ช่อดอกออกจากซอกกาบใบกึ่งกลางต้น มีกาบรองช่อดอกสีน้ำตาลแดงเรื่อห่อหุ้ม ปลีดอกสีครีมอยู่ภายใน และมีกลิ่นหอมตอนเย็นถึงเช้า

วิธีบริโภค
     นิยมนำยอดใบอ่อน ก้านใบ และไหลอ่อนมากินเป็นผัก โดยปอกเปลือกสีเขียวที่ผิวนอกของก้านออกก่อน นำมาต้มจิ้มน้ำพริก หรือใส่ในแกงส้ม แกงกะทิ บอนชนิดนี้ในน้ำยางมีแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) ที่ทำให้คัน

เคล็ดลับในการปรุงบอนไม่ให้คันและอร่อย
     คือ ก่อนปอกเปลือกก้านบอนควรทามือด้วยปูนแดงที่กินกับหมากให้ทั่วทั้งมือก่อน และหลังจากปอกเปลือกผิวนอกแล้วห้ามล้างน้ำเย็น ให้นำมาต้มใส่ในน้ำเดือดและคั้นน้ำทิ้ง 2 - 3 ครั้งก่อนนำมาประกอบอาหาร จะช่วยให้บอนอร่อยขึ้น บางท่านอาจนำมาเผาก่อนก็ได้ หรือจะนำมาปรุงกับเครื่องปรุงที่มีรสเปรี้ยว เช่น น้ำมะขาม ยอดมะขาม ส้มป่อย หรือน้ำมะกรูด เป็นต้น เพื่อช่วยดับพิษคันของบอน
     ในธรรมชาติมีทั้งต้นบอนที่คันและไม่คัน วิธีสังเกตให้ดูลำต้นที่มีสีน้ำตาลแดงเรื่อหรือสีเขียว ไม่มีนวลเกาะจับ เมื่อตัดก้านใบทิ้งไว้สักครู่จะไม่มีคราบสีเขียวคล้ำเกิดขึ้น แสดงว่าเป็นบอนไม่คัน หรือที่เรียกว่าบอนหวาน ซึ่งถ้าลองทาน้ำยางไว้บนหลังมือก็จะไม่คัน
     สำหรับเผือก แท้จริงแล้วเป็นพืชชนิดเดียวกับบอน ถ้าขึ้นในน้ำจะเรียก "บอน" และกินก้านใบ ส่วน "เผือก" จะปลูกบนบก มีหัวสะสมอาหารขนาดใหญ่ที่นำมากินได้ เผือกที่ปลูกทั่วไปมี 4 พันธุ์ คือ เผือกหอม เผือกเหลือง เผือกไม้หรือเผือกไหหลำ และเผือกตาแดง สำหรับเผือกที่เรานิยมกินเป็นเผือกหอม ซึ่งมีหัวใหญ่ร่วนซุย และมีกลิ่นหอม ซึ่งบางท้องถิ่นก็นิยมกินก้านเผือกเช่นเดียวกับก้านบอน

วิธีปอกเผือกไม่ให้คัน
     ควรล้างเผือกทั้งหัวให้สะอาด เช็ดให้แห้ง ปอกเปลือกให้หนา เพื่อให้แคลเซียมออกซาเลตหลุดออกไป ให้ธาตุฟลูออไรด์สูงมาก อีกทั้งมีโปรตีน แคลเซียม และฟอสฟอรัสที่เดียงพอกับปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ทั้งยังช่วยขับเสมหะ ปรับการทำงานของกระเพาะให้ปกติ ช่วยบำรุงไต และขับพิษในช่องท้อง

ที่มา : หนังสือ "ผักพื้นบ้าน 1" โดย อุไร จิรมงคลการ

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]
พืชผักสวนครัวและผลไม้ไทย
- ลำพู [7 กันยายน 2554 15:28 น.]
- มะเดื่อฝรั่ง(Fig) [7 กันยายน 2554 15:28 น.]
- หน่อกะลา ถือเป็น ผักพื้นบ้าน ของ เกาะเกร็ด [7 กันยายน 2554 15:28 น.]
- ต้นอ้อดิบ(ต้นคูน) [7 กันยายน 2554 15:28 น.]
- ทุเรียนน้ำ...ทุเรียนเทศ...ทุเรียนแขก [7 กันยายน 2554 15:28 น.]
- ดอกดาวเรืองกินได้ทั้งดอกและยอด [7 กันยายน 2554 15:28 น.]
- ตะลิงปลิง...ผลไม้สุดเปรี้ยว...นี่ก็อีกต้นที่ปลูกหน้าบ้าน [7 กันยายน 2554 15:28 น.]
- สัปปะรด พันธุ์เพชรบุรีที่กินได้โดยไม่ต้องปอกเปลือก [7 กันยายน 2554 15:28 น.]
- ผักหนาม [7 กันยายน 2554 15:28 น.]
- ต้นสาคู [7 กันยายน 2554 15:28 น.]
ดูทั้งหมด

  แสดงความคิดเห็น

ตัวหนา ตัวเอียง ตัวขีดเส้นใต้ ตัวขีดกลาง ชิดซ้าย กึ่งกลาง ชิดขวา รูปภาพ ลิ้งก์ ขนาดต้วอักษร สีต้วอักษร

ชื่อ: *
E-mail : *
ไม่ต้องการแสดง Email
รหัสตรวจสอบ : Security Image
* กรุณากรอกรหัสที่อยู่ในรูป

Copyright@2010 by www.nongtoob.com All right reserved.
Engine by MAKEWEBEASY