|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
สถิติผู้เข้าชม
|
ขณะนี้มีผู้เข้าใช้
|
3
|
ผู้เข้าชมในวันนี้
|
24
|
ผู้เข้าชมทั้งหมด
|
5,476,715
|
|
|
|
|
27 ธันวาคม 2567
|
อา |
จ. |
อ. |
พ. |
พฤ |
ศ. |
ส. |
1 |
2 |
3 |
4 |
5 |
6 |
7 |
8 |
9 |
10 |
11 |
12 |
13 |
14 |
15 |
16 |
17 |
18 |
19 |
20 |
21 |
22 |
23 |
24 |
25 |
26 |
27 |
28 |
29 |
30 |
31 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
มะอึก : มะเขือป่าอุดมขนและผลโต
[10 สิงหาคม 2554 11:00 น.]จำนวนผู้เข้าชม 5844 คน |
|
มะอึก : มะเขือป่าอุดมขนและผลโต
มะอึก : ญาติสนิทของมะเขือพวงและมะแว้ง
อาจกล่าวได้ว่า มะอึกเป็นญาติสนิทของมะเขือพวงและมะแว้ง โดยเฉพาะมะแว้งต้น) เพราะเป็นมะเขือป่าที่มีลักษณะร่วมกันหลายอย่าง ในขณะเดียวกันก็มีลักษณะพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองด้วย เรามาทำความรู้จักกับมะอึกพอสังเขปก่อน
มะอึกมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Solanum ferox Linn. เป็นพืชวงศ์ Solanaceae เช่นเดียวกับมะเขือพวงและมะแว้งนั่นเอง เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 150 - 200 เซนติเมตร กิ่งก้านสาขาไม่มากเท่ามะเขือพวง ใบคล้ายของมะเขือพวง แต่ขนาดโตกว่าเล็กน้อย มีหนามตามลำต้น และกิ่งก้านเช่นเดียวกัน กลีบดอกสีม่วงและเกสรตัวผู้สีเหลือง ออกผลเป็นกลุ่มเช่นเดียวกัน แต่ไม่มากเท่ามะเขือพวงหรือมะแว้ง ปกติติดผลช่อละ 3 - 5 ผล ผลมีขนาดโตกว่ามะเขือพวง คือ ผลกลม เส่นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5 เซนติเมตร หรือขนาดผลพุทราพื้นบ้าน ผลอ่อนของมะอึกมีสีเขียว เมื่อผลแก่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองจนถึงแสดเมื่อผลสุก ในผลสุกมีเมล็ดขนาดเล็กมากมายเช่นเดียวกับมะเขือพวงและมะแว้ง ผลสุกมีรสเปรี้ยว ต่างจากผลสุกของมะเขือพวงและมะแว้ง ลักษณะสำคัญอันเป็นเอกลักษณ์ของมะอึกก็คือ ทั้งลำต้น กิ่งก้าน ใบ และผลตั้งแต่อ่อนจนสุก จะปกคลุมด้วยขนอ่อนสีขาว ขนค่อนข้างยาวและหนากว่าญาติมะขือทุกชนิดที่คนไทยนำมาบริโภค
มะอึกมีชื่อเรียกต่างกันตามภาค คือ มะอึก (กลาง) มะเขือปู่ มะปู่ (เหนือ) บักเอิก (อีสาน) และอึก (ใต้)
มะอึกในฐานะผัก
ส่วนของมะอึกที่นำมาใช้ประกอบอาหารคือ ผลทั้งดิบและสุก นิยมนำไปเป็นเครื่องชูรส เพราะมีรสเปรี้ยว ในอดีตคนไทยนิยมนำมะอึกมาปรุงเครื่องจิ้มต่าง ๆ โดยเฉพาะน้ำพริกมะอึกจะมีรสเปรี้ยวแทนที่มะนาวหรือมะขาม เช่น น้ำพริกสามมะ (มะอึก มะดัน มะขาม) น้ำพริกกะปิ น้ำพริกเสวย น้ำพริกพริกไทยอ่อน น้ำพริกผักต้มกะทิ น้ำพริกลงเรือหมูหวาน น้ำพริกกุ้งสด น้ำพริกแมงดา น้ำพริกไข่เค็ม น้ำพริกนครบาล น้ำพริกผักต้มสำเร็จ น้ำพริกหลนผักหรู น้ำพริกกุ้งแห้ง น้ำพริกปลาสลาด น้ำพริกผักดองสด น้ำพริกนางลอย ฯลฯ เป็นต้น
นอกจากเครื่องจิ้มแล้ว มะอึกยังใช้ในการปรุงแกงที่ออกรสเปรี้ยวบางตำรับ เช่น แกงคั่วส้มต่าง ๆ (ปลาไหลย่าง ตะพาบน้ำ เป็ด หมูป่า ขาหมู หมูสามชั้น ฯลฯ) แกงคั่วต่าง ๆ (อ้น เป็ด ฯลฯ) แกงหมูตะพาบน้ำ เป็นต้น
การนำผลมะอึกทั้งดิบและสุกมาใช้ปรุงอาหารนั้น ต้องถูเอาขนอ่อนที่ปกคลุมผิวนอกผลออกให้เกลี้ยงเสียก่อน เพราะมะอึกเป็นมะเขือป่ามีผลปกคลุมด้วยขนเพยงชนิดเดียวที่คนไทยนำมาประกอบอาหาร
คนไทยนิยมนำผลมะอึกสุกมาประกอบอาหารมากกว่าผลดิบ ส่วนใหญ่จะใช้ผลสุกเป็นหลัก อาหารบางตำรับใช้มะอึกผลดิบบ้าง แต่ต้องใช้ร่วมกับผลสุกเสมอ ไม่ใช้ผลดิบเพียงอย่างเดียว รสชาติของมะอึกแม้จะมีรสเปรี้ยวเป็นหลัก แต่ก็มีรสและกลิ่นพิเศษเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ทำให้อาหารที่ใช้มะอึกปรุงมีรสชาติต่างออกไปจากการใช้รสเปรี้ยวจากแหล่งอื่น ๆ ( เช่น มะนาว มะม่วง มะขาม มะดัน ฯลฯ) คนไทยในอดีตจึงเลือกใช้เครื่องปรุงที่ให้รสเปรี้ยวจากพืชต่าง ๆ หลายชนิด เพื่อให้เกิดความหลากหลายในรสชาติ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างน้ำพริกตำรับต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายนับร้อยนับพันตำรับ เป็นต้น
ประโยชน์ด้านอื่น ๆ ของมะอึก
เนื่องจากมะอึกเป็นพืชพื้นบ้านดั้งเดิมชนิดหนึ่งของไทย คนไทยจึงรู้จักนำมะอึกมาใช้ประโยชน์มายาวนาน ทั้งด้านอาหารและยา อันถือเป็นปัจจัย 4 ของการดำรงชีวิตที่สำคัญที่สุด ตำราสมุนไพรไทยบรรยายสรรพคุณทางยาของมะอึกไว้ว่า
ผล : รสเปรี้ยว แก้เสมหะ แก้ไอ แก้น้ำลายเหนียว แก้ไข้สันนิบาต
ราก : รสเปรี้ยว เย็นน้อย แก้ดีฝ่อ ดีกระตุก (นอนสะดุ้งผวา หลับ ๆ ตื่น ๆ เพราะโทษน้ำดีทำ) แก้ไข้สันนิบาต แก้น้ำลายเหนียว กัดฟอกเสมหะ กระทุ้งพิษ ดับพิษร้อนภายใน
ในมาเลเซียใช้เมล็ดมะอึกรักษาอาการปวดฟัน โดยมวนเมล็ดมะอึกแห้งในใบตองแห้งแล้วจุดสูดควันเข้าไป ลักษณะร่วมกันของมะเขือป่าทั้ง 3 ชนิด (มะเขือพวง มะแว้ง และมะอึก) คือ ผลสุกมีสีสดใส (แสดแดง) ภายในมีเมล็ดขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก ลักษณะดังกล่าวดึงดูดนกให้มากินผลสุกแล้วนำเมล็ดไปถ่ายตามที่ต่าง ๆ เป็นการขยายพันธุ์ตามธรรมชาติของมะเขือป่าหลายชนิด เช่นเดียวกับพืชดั้งเดิมบางชนิด เช่น ฝรั่ง (ฝรั่งขี้นก) และพริก (พริกขี้นก) รวมทั้งมะระหรือผักไห่ (มะระขี้นก) เป็นต้น
มะอึกจึงเป็นผักพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะสำหรับปลุกเอาไว้ในสวนครัวหรือสวนหลังบ้านเป็นอย่างยิ่ง เพราะทั้งปลุกง่าย แข็งแรงทนทานต่อโรคแมลง และดินฟ้าอากาศ ปลุกครั้งเดียวใช้ประโยชน์ได้หลายปี เป็นทั้งอาหารและยา ตลอดจนล่อนกให้มาเยี่ยมเยียน เรียกว่าปลูกครั้งเดียวได้ทั้งอาหารปาก อาหารตา อาหารใจ เป็นทั้งยารักษาร่างกายและเป็นการสร้างกุศลไปในคราวเดียวกัน
ที่มา : www.doctor.or.th |
|
|
|